BE YOU, BE THE SUPER YOU
เป็นคุณในแบบที่ดีที่สุด
Collagen type 1 2 3 ต่างกันยังไง เลือกแบบไหนดีให้เหมาะกับเรา?

คอลลาเจน (Collagen) คือโปรตีนที่มีมากที่สุดในร่างกายของเรา คิดเป็น 1 ใน 3 ของโปรตีนทั่วร่างกาย คอลลาเจนเป็นเส้นใยโปรตีนชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยให้อวัยวะและเนื้อเยื่อมีโครงสร้างที่แข็งแรงและยืดหยุ่น
โครงสร้างของคอลลาเจนประกอบด้วยกรดอะมิโน 19 ชนิด โดยมีกรดอะมิโนที่สำคัญ ได้แก่ ไกลซีน (Glycine) โปรลีน (Proline) และไฮดรอกซีโปรลีน (Hydroxyproline) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้คอลลาเจนมีความแข็งแรงและความยืดหยุ่น
ความแตกต่างของคอลลาเจนแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับโครงสร้างและการจัดเรียงตัวของเส้นใยโปรตีน ทำให้มีคุณสมบัติและหน้าที่ที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการเลือกใช้ในการบำรุงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
คอลลาเจนมีกี่ชนิด ?
จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบคอลลาเจนมากกว่า 28 ชนิด แต่ที่พบมากและมีความสำคัญต่อร่างกายมากที่สุด คือ คอลลาเจนชนิดที่ 1, 2, และ 3 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% ของคอลลาเจนทั้งหมดในร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีคอลลาเจนชนิดอื่น ๆ เช่น ชนิดที่ 4 และ 5 ที่พบในปริมาณน้อยกว่า แต่ก็มีความสำคัญในการทำงานเฉพาะด้าน เช่น คอลลาเจนชนิดที่ 4 จะพบในพบในส่วนของชั้นเยื่อบุผิว (epithelium-secreted layer) ได้แก่ เบซัล ลามินา (basal lamina) และชั้นเนื้อประสานที่รองรับเนื้อผิว (basement membrane) เป็นคอลลาเจนที่มีลักษณะเฉพาะตัว พบมากบริเวณเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่หุ้มกล้ามเนื้อและไขมัน และคอลลาเจนชนิดที่ 5 มักพบในผิวของเซลล์ เส้นผม เนื้อเยื่อของทารกในระหว่างตั้งครรภ์ และรก
การแบ่งประเภทของคอลลาเจนทำได้โดยพิจารณาจากโครงสร้างทางเคมี การจัดเรียงของเส้นใย และตำแหน่งที่พบในร่างกาย แต่ละชนิดจะมีบทบาทเฉพาะตัวที่ตัวอื่นไม่สามารถทดแทนกันได้
Collagen type 1 2 3 ต่างกันยังไง เหมาะกับการบำรุงอะไร?
คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I)
คอลลาเจนชนิดที่ 1 เป็นคอลลาเจนที่พบมากที่สุดในร่างกาย คิดเป็นประมาณ 80-90% ของคอลลาเจนทั้งหมด มีโครงสร้างที่แข็งแรงและทนทาน พบมากในส่วนต่าง ๆ ดังนี้
- ผิวหนัง: ช่วยให้ผิวมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และกระชับ
- กระดูก: เป็นโครงสร้างหลักของกระดูกร่วมกับแคลเซียม
- เส้นเอ็น: ช่วยเชื่อมต่อกล้ามเนื้อกับกระดูก
- หลอดเลือด: ทำให้หลอดเลือดมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น
- เส้นผม และเล็บ: ช่วยให้แข็งแรงและมีความเงา
ประโยชน์ของคอลลาเจนไทป์ 1
- ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ
- เพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นให้ผิว
- ช่วยสมานแผลและฟื้นฟูผิวที่ได้รับความเสียหาย
- เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
- บำรุงเส้นผมและเล็บให้แข็งแรง
คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Collagen Type II)
คอลลาเจนชนิดที่ 2 มีโครงสร้างที่แตกต่างจากชนิดที่ 1 โดยมีความยืดหยุ่นมากกว่า และสามารถรับแรงกดได้ดี พบมากในส่วนต่าง ๆ ดังนี้
- กระดูกอ่อน: เป็นองค์ประกอบหลักของกระดูกอ่อน
- ข้อต่อ: ช่วยในการเคลื่อนไหวของข้อต่อ
- กระดูกสันหลัง: ช่วยรองรับน้ำหนักและช่วยในการเคลื่อนไหว
- ลูกนัดตา: ช่วยให้ตามีรูปทรงที่เหมาะสม
ประโยชน์ของคอลลาเจนไทป์ 2
- ช่วยลดการอักเสบของข้อต่อ
- บรรเทาอาการปวดข้อและกระดูก
- เพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อ
- ป้องกันการสึกหรอของกระดูกอ่อน
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อม
คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Collagen Type III)
คอลลาเจนชนิดที่ 3 มักพบร่วมกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 และมีโครงสร้างที่ละเอียดอ่อนกว่า พบมากในส่วนต่าง ๆ ดังนี้
- หลอดเลือด: ช่วยให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น
- กล้ามเนื้อ: ช่วยในการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ
- อวัยวะภายใน: พบในผนังของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด ตับ ไต
- ผิวหนัง: ทำงานร่วมกับคอลลาเจนชนิดที่ 1
ประโยชน์ของคอลลาเจนไทป์ 3
- ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของหลอดเลือด
- ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด
- บำรุงกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่น
- ช่วยในการสมานแผลและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- เสริมฤทธิ์การทำงานของคอลลาเจนชนิดที่ 1

สิ่งที่ทำลายคอลลาเจน
การรู้จักปัจจัยที่ทำลายคอลลาเจนเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลรักษาคอลลาเจนในร่างกาย เพื่อให้การเสริมคอลลาเจนได้ผลดีที่สุด โดยมีทั้งปัจจัยภายนอก จากสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง ที่เป็นส่วนทำลายคอลลาเจน รวมถึงปัจจัยภายในที่เกิดขึ้นจากร่างกายของเราเอง
ปัจจัยภายนอก
- แสงแดด UV: รังสี UV จากแสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายคอลลาเจน โดยเฉพาะรังสี UVA ที่สามารถทะลุถึงชั้นผิวหนังลึก ทำให้เส้นใยคอลลาเจนขาดหรือเสียรูปทรง
- มลภาวะ: ฝุ่นละออง สารเคมี และมลภาวะในอากาศสามารถสร้างอนุมูลอิสระที่ทำลายคอลลาเจน
- การสูบบุหรี่: นิโคตินและสารเคมีในบุหรี่ลดการไหลเวียนเลือด และทำลายวิตามิน C ที่จำเป็นในการสร้างคอลลาเจน
- ความเครียด: ฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เพิ่มขึ้นจากความเครียดจะยับยั้งการสร้างคอลลาเจน
ปัจจัยภายใน
- อายุที่เพิ่มขึ้น: หลังอายุ 25 ปี ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนลดลงปีละประมาณ 1% และลดลงเร่งขึ้นหลังวัยทอง
- ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนโดยเฉพาะเอสโตรเจนในผู้หญิงวัยทอง
- พันธุกรรม: บางคนอาจมีการสร้างคอลลาเจนที่ช้าหรือเร็วกว่าคนอื่นตามสายพันธุ์
พฤติกรรมการทำลายคอลลาเจน
- อาหารที่มีน้ำตาลสูง: น้ำตาลจะจับกับโปรตีนคอลลาเจนทำให้แข็งและเปราะ (Glycation)
- การนอนไม่เพียงพอ: การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมและสร้างคอลลาเจน
- ขาดการออกกำลังกาย: การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป: แอลกอฮอล์ลดการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน
สารอาหารที่ช่วยเพิ่มคอลลาเจนในร่างกาย
การเสริมสร้างคอลลาเจนไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกินคอลลาเจนเสริมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีสารอาหารอื่น ๆ ที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจนด้วย
- วิตามิน C
วิตามิน C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในการสังเคราะห์คอลลาเจน โดยทำหน้าที่เป็นตัวช่วย (Cofactor) ในขั้นตอนการสร้างคอลลาเจน
แหล่งอาหาร: ส้ม มะนาว กีวี่ ฝรั่ง มะเขือเทศ พริกหวาน บร็อกโคลี่
ขนาดที่แนะนำ: 75-90 มิลลิกรัมต่อวัน
- วิตามิน E
วิตามิน E ช่วยปกป้องคอลลาเจนจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ และช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
แหล่งอาหาร: น้ำมันพืช ถั่วอัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน อะโวคาโด ผักใบเขียว
- สังกะสี (Zinc)
สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นในการสังเคราะห์คอลลาเจนและช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
แหล่งอาหาร: เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดฟักทอง
- กรดอะมิโนที่จำเป็น
โปรลีน: พบในเนื้อสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์จากนม ไข่
ไกลซีน: พบในเนื้อสัตว์ ปลา ผิวไก่
ไฮดรอกซีโปรลีน: สร้างขึ้นในร่างกายจากโปรลีนและวิตามิน C

ส่วนผสมที่มักพบในผลิตภัณฑ์คอลลาเจน
- คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen Peptide)
คอลลาเจนเปปไทด์เป็นคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซิส ทำให้มีขนาดโมเลกุลเล็ก ดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนทั่วไป
ข้อดี
- ดูดซึมเร็วและดีกว่า
- ละลายน้ำได้ง่าย
- ไม่มีกลิ่นคาวเหมือนคอลลาเจนทั่วไป
- คอลลาเจนจากแหล่งต่าง ๆ
Marine Collagen (คอลลาเจนจากปลา)
- ดูดซึมได้ดีที่สุด
- มีโครงสร้างใกล้เคียงกับคอลลาเจนในร่างกาย
- เหมาะสำหรับบำรุงผิว
Bovine Collagen (คอลลาเจนจากสัตว์จำพวกโค)
- มีคอลลาเจนไทป์ 1 และ 3
- เหมาะสำหรับบำรุงผิวและกระดูก
- ราคาประหยัดกว่า
Chicken Collagen (คอลลาเจนจากไก่)
- มีคอลลาเจนไทป์ 2 เป็นหลัก
- เหมาะสำหรับบำรุงข้อต่อ
- สารเสริมที่พบบ่อย
- วิตามิน C: เสริมในผลิตภัณฑ์คอลลาเจนเกือบทุกชนิด เพื่อช่วยในการดูดซึมและสังเคราะห์
- ไฮยาลูโรนิกแอซิด (Hyaluronic Acid): ช่วยเก็บความชุ่มชื้นและทำงานร่วมกับคอลลาเจน
- โคเอนไซม์ Q10: สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องและซ่อมแซมผิว
- เซรามาย (Ceramide): ช่วยสร้างเกราะป้องกันผิวและรักษาความชุ่มชื้น
- กลูต้าไทโอน: สารต้านอนุมูลอิสระและช่วยในการสร้างผิวใส
- สารให้ความหวานและรสชาติ
- สตีเวีย: สารให้ความหวานธรรมชาติที่ไม่มีแคลอรี่
- เอริธริทอล: น้ำตาลแอลกอฮอล์ที่มีแคลอรี่ต่ำ
- กลิ่นผลไม้ธรรมชาติ: ช่วยปรับปรุงรสชาติให้กินง่าย
- สารเติมแต่งอื่น ๆ
- โคลลาเจนผง: รูปแบบที่นิยมที่สุด สามารถผสมกับน้ำหรือเครื่องดื่มอื่นได้
- แคปซูล: สะดวกในการรับประทาน แต่อาจดูดซึมช้ากว่าแบบผง
- ครีมและเซรั่ม: สำหรับการบำรุงผิวจากภายนอก แต่คอลลาเจนไม่สามารถทะลุผิวหนังได้
กิน คอลลาเจน อย่างไรให้ได้ผล
เวลาที่เหมาะสมในการรับประทาน
- ตอนเช้าท้องว่าง: การกินคอลลาเจนตอนเช้าก่อนอาหารจะช่วยให้ดูดซึมได้ดี เนื่องจากไม่มีอาหารอื่นไปแย่งกับการดูดซึม
ปริมาณที่เหมาะสม
- สำหรับบำรุงผิว: 2.5-10 กรัมต่อวัน
- สำหรับบำรุงข้อและกระดูก: 5-15 กรัมต่อวัน
- สำหรับนักกีฬา: 10-20 กรัมต่อวัน
วิธีการรับประทานที่ถูกต้อง
- ผสมกับน้ำเปล่า: วิธีที่ง่ายที่สุด ใช้น้ำอุณหภูมิห้องหรือน้ำเย็น
- หลีกเลี่ยงน้ำร้อนจัด: อุณหภูมิสูงอาจทำลายโครงสร้างของคอลลาเจน
- ความต่อเนื่องในการรับประทาน
- การกินคอลลาเจนต้องมีความต่อเนื่องอย่างน้อย 8-12 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลชัดเจน
คำถามที่พบบ่อย Collagen type 1 2 3 ต่างกันยังไง ?
- การกินคอลลาเจนจะถูกดูดซึมไปที่ผิวได้จริงหรือ?
คอลลาเจนที่เราทานเข้าไป ไม่ได้ถูกดูดซึมไปที่ผิวโดยตรงในรูปแบบเส้นใย แต่ร่างกายจะย่อยสลายคอลลาเจนเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์เล็ก ๆ ก่อน จากนั้นจึงนำไปใช้สร้างคอลลาเจนใหม่ในร่างกาย รวมถึงผิว ข้อต่อ และกระดูก ดังนั้นแม้จะไม่ได้ “เดินทางตรง” ไปถึงผิว แต่ก็ช่วยให้ร่างกายมีวัตถุดิบสำหรับการฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนได้มากขึ้น ส่งผลให้ผิวดูมีความยืดหยุ่นและชุ่มชื้นขึ้นเมื่อทานต่อเนื่องร่วมกับการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม
- ร่างกายสร้างคอลลาเจนได้เอง แล้วทำไมต้องกินคอลลาเจนอีก?
จริง ๆ แล้วร่างกายสามารถสร้างคอลลาเจนได้เองอยู่แล้ว แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังอายุ 25 ปี การสร้างคอลลาเจนจะค่อย ๆ ลดลงทุกปี ทำให้ผิวเริ่มมีริ้วรอย ความยืดหยุ่นลดลง และข้อต่อเสื่อมสภาพง่ายขึ้น การทานคอลลาเจนเสริมจึงเปรียบเหมือนการเติมวัตถุดิบสำคัญให้ร่างกาย เพื่อช่วยชะลอการเสื่อมของผิวและข้อต่อ ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่หลากหลาย พักผ่อนเพียงพอ และเลี่ยงปัจจัยที่ทำลายคอลลาเจน เช่น แสงแดดและการสูบบุหรี่
Super You คอลลาเจน
ซูเปอร์ เคลียร์ คอลลาเจน – คอลลาเจนที่ช่วยดูแลเรื่องผิว ผม เล็บ หน้า สิว ครบจบในซองเดียว การันตีด้วยมาตรฐานระดับสากลจากรางวัล Japan Beauty Awards 2023 งามในแบบฉบับคนญี่ปุ่น
ซูเปอร์ เคลียร์ คอลลาเจน มาพร้อมคอลลาเจน 3x คอมเพล็กซ์ ประกอบด้วย คอลลาเจน Type I ครบ 3 ชนิดทั้ง Dipeptine, Tripeptine และ Peptine ปริมาณถึง 10,000 มิลลิกรัม และสารสกัดอื่นๆ จากธรรมชาติ อีก 6,000 มิลลิกรัม ได้แก่ กลูต้า สารตั้งต้นกลูต้า สารสกัดซากุระจากประเทศญี่ปุ่น วิตามินซี วิตามินอี และวิตามิน B3 ภายในซอง มาในรูปแบบผง 1 ซอง เพียง 60 แคลอรี่ ไม่มีน้ำตาล ไขมัน โซเดียม และคลอเรสเตอคอล
เพราะมี คอลลาเจน 3x คอมเพล็กซ์ + กลูต้า + ซากุระ + วิตามินซี + วิตามิน อี + วิตามิน บี3 + สารสกัดจากข้าว +เห็ดหูหนูขาว + Rose Hips + อื่นๆ



