BE YOU, BE THE SUPER YOU
เป็นคุณในแบบที่ดีที่สุด
คอลลาเจน คืออะไร ตัวช่วยสุขภาพดี บำรุงผิว ผม เล็บ ให้แข็งแรง

ในทุกช่วงวัยของชีวิต “คอลลาเจน” มักเป็นคำที่เราได้ยินบ่อย ไม่ว่าจะในโฆษณา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือแม้แต่ในวงสนทนาเรื่องสุขภาพและความงาม คอลลาเจนถือเป็นสารสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะเรื่องผิวพรรณ ผม และเล็บ แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้ว คอลลาเจนคืออะไร ทำหน้าที่อย่างไรในร่างกาย และเราควรดูแลเรื่องนี้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่ บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับคอลลาเจนแบบละเอียด เข้าใจง่าย พร้อมคำแนะนำในการดูแลตัวเองให้เห็นผลอย่างชัดเจน
คอลลาเจนคืออะไร?
คอลลาเจน (Collagen) คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบมากที่สุดในร่างกายของเรา โดยคิดเป็นประมาณ 30% ของโปรตีนทั้งหมด มีหน้าที่หลักคือช่วยสร้างความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้กับผิวหนัง กระดูก เส้นเอ็น กระดูกอ่อน และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่นๆ นอกจากนี้ คอลลาเจนยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของเส้นผม เล็บ และฟันอีกด้วย
เมื่อเรายังอยู่ในช่วงวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น ร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนได้เองในปริมาณมาก แต่หลังจากอายุประมาณ 25 ปีขึ้นไป การผลิตคอลลาเจนจะเริ่มลดลงเรื่อยๆ ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณของความเสื่อม เช่น ผิวหย่อนคล้อย เล็บเปราะ ผมร่วง หรือข้อเข่าเริ่มมีเสียง
งานวิจัยและคำแนะนำจากหลายแหล่งระบุว่า ร่างกายควรได้รับคอลลาเจน ที่ประทานเข้าไปเพิ่มเติมวันละ 2,500–10,000 มิลลิกรัม (มก.) จึงจะเพียงพอต่อการฟื้นฟูและบำรุงเนื้อเยื่อ โดยระดับที่พอดีและเห็นผล สำหรับคนทั่วไปคือประมาณ 5,000 มิลลิกรัมต่อวัน
ซึ่งถือเป็นปริมาณที่มากกว่าที่คนส่วนใหญ่มักได้รับจากอาหารปกติ เช่น หนังไก่ กระดูกหมู น้ำต้มกระดูก หรือปลาทะเล ด้วยเหตุนี้เอง การรับประทาน “อาหารเสริมคอลลาเจน” ที่ให้ในปริมาณที่เหมาะสม จึงกลายเป็นทางเลือกที่สะดวกและช่วยเติมเต็มช่องว่างของโภชนาการในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ของคอลลาเจน
คอลลาเจนไม่ได้มีบทบาทแค่เรื่องความสวยความงาม แต่ยังมีประโยชน์สำคัญต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วย ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดของคอลลาเจนมีดังนี้
1. ผิวหนังดูอ่อนเยาว์ ชุ่มชื้น และกระชับ
- คอลลาเจนช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและแข็งแรง
- เมื่อผิวมีคอลลาเจนเพียงพอ ผิวจะดูเต่งตึง ริ้วรอยจางลง ไม่แห้งกร้าน
- ยังช่วยลดรอยแตกลายที่เกิดจากการยืดขยายของผิว
2. บำรุงเส้นผมให้เงางามและแข็งแรง
- คอลลาเจนช่วยให้รากผมแข็งแรง ลดการหลุดร่วง
- มีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างโปรตีนเคราติน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเส้นผม
3.ช่วยลดการเกิดสิวและรอยสิว
- คอลลาเจนมีบทบาทในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวหนัง ทำให้แผลสิวหายเร็วขึ้น และลดโอกาสเกิดรอยดำหรือรอยแผลเป็นจากสิว
- ผิวที่มีความแข็งแรงจากภายใน ช่วยลดโอกาสการอักเสบของสิวซ้ำ
- นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยควบคุมความสมดุลของผิวหนัง เช่น ความชุ่มชื้นและความแข็งแรงของผิวชั้นล่าง ซึ่งส่งผลให้ผิวมีภูมิต้านทานต่อการเกิดสิวได้ดีขึ้น
4. เล็บแข็งแรง ไม่เปราะบาง
- เล็บที่เปราะ หักง่าย อาจเกิดจากการขาดคอลลาเจน
- การเสริมคอลลาเจนช่วยให้เล็บหนาและมีสุขภาพดีขึ้น
5. ดูแลข้อต่อ กระดูก และกระดูกอ่อน
- คอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญในกระดูกอ่อน (Cartilage) ซึ่งเป็นตัวรองรับแรงกระแทกในข้อเข่า ข้อมือ และข้อเท้า
- ช่วยลดการอักเสบ ป้องกันการเสื่อมของข้อในผู้สูงอายุ
- ยังมีผลดีต่อความหนาแน่นของมวลกระดูก ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน
6. ช่วยในการสมานแผลและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- ร่างกายต้องใช้คอลลาเจนในการซ่อมแซมแผล ฟื้นฟูผิวหนัง กล้ามเนื้อ หรือเส้นเอ็น
- ทำให้แผลหายเร็วขึ้น และลดการเกิดแผลเป็น
อาการขาดคอลลาเจน
การขาดคอลลาเจนของคนเรา อาจไม่แสดงออกทันที แต่จะค่อยๆ แสดงอาการที่มองเห็นหรือรู้สึกได้ อาการขาดคอลลาเจนสามารถเกิดขึ้นได้ทีละน้อย และค่อยๆ สะสมจนร่างกายเริ่มแสดงอาการชัดเจนมากขึ้น โดยทั่วไปแล้ว หากมีอาการที่เกี่ยวข้องกับคอลลาเจน ตั้งแต่ 3 อาการขึ้นไปพร้อมกัน และเป็นต่อเนื่อง นานเกิน 2-3 เดือน โดยไม่มีสาเหตุทางการแพทย์อื่นที่ชัดเจน อาจถือได้ว่าเป็น ภาวะขาดคอลลาเจนในระดับปานกลางถึงรุนแรง ควรเริ่มดูแลและปรับพฤติกรรม หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โดยสามารถสังเกตุอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นดังนี้
1. ผิวเปลี่ยนแปลงชัดเจน
- เริ่มมีริ้วรอยร่องลึก เช่น ตีนกา ร่องแก้ม
- ขาดความยืดหยุ่น ผิวหย่อนคล้อยง่าย
- ผิวแห้งมากขึ้น เพราะคอลลาเจนช่วยอุ้มน้ำในผิว
2. ผมร่วงและบางลง
- คอลลาเจนที่ลดลงทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณหนังศีรษะไม่แข็งแรง
- รากผมอ่อนแอ ขาดสารอาหาร ทำให้ผมร่วงง่าย
3. เล็บเปราะบาง
- เล็บบาง แห้ง แตกหรือฉีกง่ายกว่าปกติ
- งอกช้า และไม่เรียบเนียน
4. ปวดข้อหรือมีเสียงดังในข้อต่อ
- เนื้อเยื่อที่รองข้อต่อบางลง ทำให้กระดูกเสียดสีกันโดยตรง
- บางคนอาจรู้สึกข้อยึด ขยับลำบาก โดยเฉพาะตอนเช้า
5. แผลหายช้ากว่าปกติ
- คอลลาเจนมีบทบาทในการสมานแผลและการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ หากร่างกายขาดคอลลาเจน กระบวนการซ่อมแซมก็จะทำงานได้ช้าลง
- อาจเกิดแผลเป็นมากกว่าคนทั่วไป
คอลลาเจนจากอาหาร vs คอลลาเจนเสริม แบบไหนดี?
- คอลลาเจนจากอาหาร
พบได้ในอาหารจากธรรมชาติ เช่น หนังปลา หนังไก่ น้ำซุปกระดูก หรืออาหารทะเล โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก ข้อดีคือปลอดภัยจากสารเติมแต่ง แต่ร่างกายอาจดูดซึมได้น้อยเมื่อเทียบกับแบบเสริม
- คอลลาเจนเสริม (อาหารเสริมคอลลาเจน)
มีทั้งในรูปแบบผง เม็ด และน้ำ จุดเด่นคือผ่านการย่อยให้โมเลกุลเล็กลง (เรียกว่า “คอลลาเจนเปปไทด์” หรือ “ไฮโดรไลซ์”) ทำให้ร่างกายดูดซึมได้ง่าย เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์เร็ว
คำแนะนำ: หากเป็นคนที่ไม่สามารถทานอาหารบางชนิดได้ หรือมีอาการขาดคอลลาเจนชัดเจน การเลือกอาหารเสริมคอลลาเจนก็เป็นตัวช่วยที่ดี
เมื่อไหร่ควรเริ่มกินคอลลาเจน?
แม้ว่าร่างกายจะสามารถสร้างคอลลาเจนได้เอง แต่หลังจากอายุ 25 ปี ความสามารถนี้จะเริ่มลดลงทุกปี โดยเฉพาะในช่วงอายุ 30-40 ปีแรกจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เช่น ผิวเริ่มแห้ง ไม่กระชับ
ช่วงเวลาที่แนะนำให้เริ่มดูแลเรื่องคอลลาเจน ได้แก่
1. หลังอายุ 25 ปี
เหมาะสำหรับการเริ่มเสริมคอลลาเจนเบื้องต้น ช่วยชะลอริ้วรอยและป้องกันการเสื่อมสภาพของผิวและข้อต่อ
2. วัยทำงาน (30–45 ปี)
ควรเริ่มทานคอลลาเจนแบบจริงจังมากขึ้น เพราะร่างกายเริ่มสูญเสียคอลลาเจนมากขึ้นในทุกปี โดยเฉพาะคนที่พักผ่อนน้อย เครียด หรือโดนแดดเป็นประจำ
3. วัย 50 ปีขึ้นไป
เป็นช่วงที่มวลกระดูกและกล้ามเนื้อเริ่มลดลงอย่างชัดเจน การเสริมคอลลาเจนจะช่วยลดอาการข้อเสื่อม กล้ามเนื้อฝ่อ และบำรุงสุขภาพ
เคล็ดลับกินคอลลาเจนให้เห็นผล
- กินคอลลาเจน ควบคู่กับวิตามินซี เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น
- ควรทาน ตอนท้องว่าง หรือช่วงเช้า/ก่อนนอน
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ เพราะทำลายคอลลาเจน
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการนอนช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ได้ดีขึ้น
- ดื่มน้ำให้มาก เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นจากภายใน
วิธีการเลือกทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน
แม้ว่าร่างกายจะสามารถสร้างคอลลาเจนได้เองจากสารอาหารที่ได้รับในแต่ละวัน แต่ในความเป็นจริง พฤติกรรมการกินของคนส่วนใหญ่กลับไม่เพียงพอต่อการสร้างคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในวัยที่ร่างกายเริ่มผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง เช่น วัยทำงานหรือผู้ที่พักผ่อนน้อย มีความเครียด หรือได้รับมลภาวะบ่อยครั้ง
การเลือกทานอาหารที่มีสารอาหารสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนจึงเป็นพื้นฐานที่ดีและจำเป็น แต่หากไม่สามารถกินได้ครบหรือได้ปริมาณมากพอในแต่ละวัน การทานอาหารเสริมคอลลาเจนก็ถือเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์ โดยเฉพาะในคนที่ต้องการดูแลผิว เส้นผม เล็บ หน้า สิว หรือข้อต่อให้ดีจากภายใน
1. อาหารที่มีโปรตีนสูง
คอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ดังนั้นการทานโปรตีนอย่างเพียงพอคือพื้นฐานสำคัญ เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ขาว ปลา ถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง เต้าหู้ ถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์จากถั่ว
2. วิตามินซี (Vitamin C)
จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย ช่วยให้การรวมตัวของกรดอะมิโนในโปรตีนคอลลาเจนเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม บรอกโคลี พริกหวานแดง กีวี
3. แร่ธาตุที่ช่วยสร้างคอลลาเจน
- สังกะสี (Zinc): พบในอาหารทะเล เมล็ดฟักทอง เนื้อวัว
- ทองแดง (Copper): พบในถั่วแดง ตับ งา
- ซัลเฟอร์ (Sulfur): ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อ พบในไข่ กระเทียม หัวหอม
4. สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)
ช่วยปกป้องคอลลาเจนไม่ให้ถูกทำลายจากมลภาวะ หรือแสงแดด เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ชาเขียว แครอท มะเขือเทศ
5. โอเมก้า 3 และกรดไขมันดี
- ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และช่วยรักษาความยืดหยุ่นของผิว
- ปลาแซลมอน ปลาทู
- เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย อะโวคาโด
ซูเปอร์ เคลียร์ คอลลาเจน
ซูเปอร์ เคลียร์ คอลลาเจน คอลลาเจนที่ให้คุณได้มากกว่า รวมสารสกัด และวิตามินกว่า 19 ชนิดในซองเดียว ครบจบเรื่อง “ผม ผิว เล็บ หน้า สิว”
คอลลาเจน ช่วยในเรื่องผิว ประกอบไปด้วยคอลลาเจน 3x คอมเพล็กซ์ ทั้งคอลลาเจนไดเปปไทด์ คอลลาเจนไตรเปปไทด์ และคอลลาเจนเปปไทด์
ปริมาณคอลลาเจน 10,000 มิลลิกรัม/ซอง
มาพร้อมอาหารผิวอีก 6,000 มิลลิกรัม/ซอง ช่วยให้ผิวแข็งแรง ชุ่มชื้น กระจ่างใสประกอบด้วย
- สารสกัดซากุระจากประเทศญี่ปุ่นช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดความหมองคล้ำ
- วิตามินซี วิตามิน B วิตามิน B3
- กลูต้าและสารตั้งต้นกลูต้า
- L- GLUTATHIONE 250 mg
- L- CYSTEINE 500 mg
- L- GLUTAMINE 300 mg
- L- GLYCINE 100 mg
0% น้ำตาล 0% ไขมัน 0% โซเดียม มีอย. และตราฮาลาล
คำถามที่พบบ่อย
- คอลลาเจน Super You กินตอนไหนดีที่สุด?
กินตอนท้องว่างหรือหลังอาหาร 30 นาที ก็ได้ไม่มีผลต่อการดูดซึม
- ควรเลือกกินคอลลาเจนแบบไหนดี?
หากต้องการเห็นผลเร็ว แนะนำให้เลือกแบบผงหรือแบบน้ำที่เป็น คอลลาเจนเปปไทด์ ซึ่งมีโมเลกุลเล็ก ดูดซึมง่าย และควรเลือกที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย
- ต้องกินคอลลาเจนนานแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
โดยทั่วไปควรกินต่อเนื่อง อย่างน้อย 8-12 สัปดาห์ ถึงจะเริ่มเห็นผลเรื่องผิวพรรณ ข้อต่อ หรือผมและเล็บ แต่ผลลัพธ์อาจต่างกันไปตามบุคคล
- คอลลาเจนทำให้อ้วนไหม?
โดยปกติแล้วคอลลาเจนไม่มีไขมันและแคลอรีสูง จึงไม่ทำให้อ้วน หากกินตามปริมาณที่แนะนำ แต่ควรหลีกเลี่ยงสูตรที่มีน้ำตาลหรือสารให้ความหวานมาก